โฆษกคณะ กมธ.การคุ้มครองผู้บริโภค แถลงข่าวเกี่ยวกับสถานการณ์น้ำท่วมที่เกิดขึ้นในอำเภอหาดใหญ่ และพื้นที่ภาคใต้ เรียกร้องต่อรัฐบาล หน่วยงานกำกับดูแล และผู้ให้บริการเอกชนให้ร่วมกันดำเนินมาตรการช่วยเหลืออย่างเป็นรูปธรรม
นายภัณฑิล น่วมเจิม โฆษกคณะ กมธ.การคุ้มครองผู้บริโภค แถลงข่าวเกี่ยวกับสถานการณ์น้ำท่วมที่เกิดขึ้นในอำเภอหาดใหญ่ และสามจังหวัดชายแดนใต้ และพื้นที่ภาคใต้ตอนล่าง ซึ่งขณะนี้ประชาชนจำนวนกว่า 2 ล้านคน ได้รับผลกระทบอย่างหนัก บ้านเรือนเสียหาย การดำรงชีวิตหยุดชะงัก และมีรายงานผู้เสียชีวิตไม่จำนวนต่ำกว่า 145 ราย เหตุการณ์ครั้งนี้ไม่ใช่สถานการณ์ปกติ แต่เป็นภัยพิบัติระดับชาติ ที่จำเป็นต้องได้รับการดูแลอย่างเร่งด่วนและทั่วถึง ซึ่งตนจะลงพื้นที่ในวันพรุ่งนี้เพื่อร่วมให้ความช่วยเหลือ และสะท้อนข้อเท็จจริงจากประชาชนผู้เดือดร้อน ซึ่งนอกจากต้องเผชิญน้ำท่วมแล้ว ยังถูกซ้ำเติมด้วยภาระต่าง ๆ ทั้งประกันภัย หนี้สิน ค่าใช้บริการขั้นพื้นฐาน น้ำ–ไฟ–อินเทอร์เน็ต ที่ยังค้างชำระ ทั้งที่ในหลายพื้นที่ประชาชนไม่สามารถใช้บริการ ในฐานะผู้ทำหน้าที่คุ้มครองผู้บริโภค จึงขอเรียกร้องต่อรัฐบาล หน่วยงานกำกับดูแล และผู้ให้บริการเอกชนให้ร่วมกันดำเนินมาตรการช่วยเหลืออย่างเป็นรูปธรรม ดังนี้

1. มาตรการด้านประกันภัย ประชาชนจ่ายเบี้ยประกันทุกปีเพื่อความมั่นใจว่าหากเกิดเหตุไม่คาดฝัน ระบบประกันภัยจะช่วยประคับประคอง แต่เมื่อเกิดอุทกภัยใหญ่ หลายรายกลับพบขั้นตอนการรับเงินชดเชยค่าเสียหายที่ยุ่งยาก ถูกปฏิเสธด้วยเงื่อนไขย่อยที่ไม่เคยรับรู้มาก่อน ซึ่งหากเป็นรัฐบาลจะสั่งการให้บริษัทประกันภัยทุกแห่งดำเนินการทันที คือ กำหนดมาตรฐานกลาง สำหรับการชดเชยภัยพิบัติน้ำท่วม พร้อม วงเงินขั้นต่ำ ที่ต้องจ่าย กำหนดระยะเวลาชัดเจน ในการพิจารณาเคลม หลังประชาชนยื่นเอกสารครบ ว่าต้องได้รับเงินภายในระยะเวลาเท่าใด พร้อมจัดตั้ง “ศูนย์เคลมประกันกลาง” ในพื้นที่ภัยพิบัติ เพื่อให้ประชาชนยื่นเรื่องและติดตามผลในจุดเดียว ลดภาระการติดต่อหลายบริษัท อีกทั้งให้คณะกรรมการที่เกี่ยวข้องพิจารณา ความเป็นธรรมของข้อยกเว้นคุ้มครองกรณีภัยพิบัติ เนื่องจากเป็นเหตุสุดวิสัยที่ประชาชนไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ประชาชนซื้อประกันด้วยเงินของตนเอง ไม่ใช่บริการฟรี จึงต้องได้รับการคุ้มครองอย่างเหมาะสม ไม่ใช่ถูกปฏิเสธสิทธิในยามเดือดร้อนที่สุด
2. มาตรการด้านการเงินและหนี้สิน ซึ่งภัยพิบัติทำให้รายได้ของประชาชนจำนวนมากหายไปในชั่วข้ามคืน แต่การทวงถามหนี้ยังดำเนินต่อเนื่อง ผู้กู้หลายรายเสี่ยงต่อการถูกบันทึกสถานะผิดนัดชำระโดยไม่เป็นธรรม รัฐบาลได้ประกาศมาตรการพักชำระหนี้ของสถาบันการเงินเฉพาะกิจแล้ว แต่ตนเห็นว่าควรดำเนินการเพิ่มเติมโดยการพักชำระเงินต้นและดอกเบี้ยอัตโนมัติ 12 เดือน โดย ยกเว้นดอกเบี้ยระหว่างช่วงพัก (ดอกเบี้ยร้อยละศูนย์) และขอความร่วมมือสถาบันการเงินเอกชนให้ดำเนินมาตรการเทียบเท่าภาครัฐ เพื่อไม่ให้ประชาชนรายย่อยถูกทิ้งไว้ข้างหลัง โดยไม่บันทึกข้อมูลเครดิตบูโรเป็นหนี้เสีย สำหรับประชาชนในพื้นที่ภัยพิบัติ เพราะเป็นเหตุสุดวิสัย อีกทั้งเปิดโครงการสินเชื่อฟื้นฟูผู้ประสบภัย วงเงินจำนวนไม่เกิน 100,000 บาท ดอกเบี้ย ร้อยละศูนย์ ในปีแรก สำหรับการซ่อมบ้าน ซ่อมที่อยู่อาศัย และฟื้นฟูอาชีพ

3. มาตรการลดภาระค่าใช้บริการขั้นพื้นฐาน น้ำ ไฟ อินเทอร์เน็ตโดยหลายพื้นที่น้ำประปาไม่ไหล ไฟฟ้าดับ อินเทอร์เน็ตใช้ไม่ได้ แต่ประชาชนยังถูกเรียกเก็บค่าบริการเต็มจำนวน ซึ่งไม่เป็นธรรมอย่างยิ่ง จึงขอเสนอให้รัฐบาลดำเนินการอย่างเร่งด่วน ได้แก่ ยกเว้นค่าบริการน้ำ ไฟ 3 เดือน ในพื้นที่ประกาศภัยพิบัติรุนแรงลดค่าบริการ ร้อยละ 50 ต่อเนื่องอย่างน้อย 1 ปี ระหว่างช่วงฟื้นฟูให้การไฟฟ้าและประปาใช้ฐานข้อมูลมิเตอร์ที่ตัด–ต่อบริการเป็นหลักฐานอัตโนมัติ ประชาชนไม่ต้องไปยื่นคำร้องเอง สำหรับบริการโทรคมนาคม ให้ผู้ประกอบการ ขยายสัญญาณ เพิ่มโครงข่าย และลดค่าบริการในพื้นที่น้ำท่วม เนื่องจากเป็นช่องทางสื่อสารสำคัญด้านความปลอดภัย นับว่าเป็นช่วงเวลาที่ผู้ประกอบการเอกชนควรแสดงบทบาทและความรับผิดชอบต่อสังคมอย่างจริงจัง
4. การควบคุมราคาสินค้าและการคุ้มครองผู้บริโภค ซึ่งในบางพื้นที่มีการฉวยโอกาสขึ้นราคาสินค้าอุปโภคบริโภค ตนจะเชิญกรมการค้าภายในและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาชี้แจงในการประชุมของคณะกรรมาธิการ พร้อมเร่งตรวจสอบอย่างจริงจัง เพื่อไม่ให้ประชาชนต้องถูกซ้ำเติมในยามเดือดร้อน
อย่างไรก็ตามขอเรียกร้องถึงรัฐบาลและหน่วยงานกำกับดูแลให้เร่งผลักดันมาตรการช่วยเหลืออย่างรอบด้าน ซึ่งประชาชนต้องการทราบว่าจะได้รับการช่วยเหลือเมื่อใด โดยตนพร้อมทำงานร่วมกับทุกฝ่ายในสภาเพื่อผลักดันให้มาตรการเหล่านี้เกิดขึ้นจริงโดยเร็วที่สุด เมื่อสภาผู้แทนราษฎรเปิดสมัยประชุม จะนำประเด็นนี้เข้าสู่การพิจารณาเป็นวาระเร่งด่วน และจะรายงานความคืบหน้าให้ประชาชนทราบอีกครั้ง

